อดีตสาวบิ๊กไซส์ที่มีน้ำหนักตัวมากถึง 130 กิโลกรัม แถมยังเคยเป็นลมหมดสติบนเครื่องบินเพราะภาวะโรคอ้วน ล่าสุด โบรัน มนต์สินี น้องสาวของ บุ๊กโกะ-ธนัชพันธ์ บูรณาชีวาวิไล หรือที่หลายคนรู้จักกันในชื่อ ดีเจบุ๊กโกะ ได้มีโอกาสมานั่งพูดคุยแบบเปิดใจกับทีมข่าวบันเทิง Sanook.com ถึงเรื่องราวการทำ “ศัลยกรรม” เต็มรูปแบบ ตลอดระยะเวลากว่า 5 ปี จนตอนนี้ไม่ใช่แค่เจ้าตัวจะสามารถลดน้ำหนักลงมาได้กว่า 62 กิโลกรัมเท่านั้น แต่หน้าตาและความสวยก็ยังเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก ซึ่งการันตีความเป๊ะด้วยชื่อ Bookko Agency ธุรกิจ ถุงกระสอบสีขาว กระสอบปุ๋ย สุดปังของครอบครัว!!
บุ๊กโกะ – “วันที่เปิดตัวโบรันคือทุกคนอึ้งมาก อารมณ์แบบใช่โบรันจริงหรือเปล่า เพราะสมัยก่อนเขาตัวใหญ่มาก ดังนั้นการปรากฎตัวของเขาครั้งนี้มันเลยเป็นอะไรที่เซอร์ไพรส์จริงๆ เขาเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยค่ะ อีกอย่างคือตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมาเขาไม่สามารถลงรูปตัวเองแบบเห็นหน้าได้เลยนะ ถ้าจะลงก็ลงได้แค่แบบ ปิดหน้า ใส่แมสก์ หรือใช้สติ๊กเกอร์ปิด เขาต้องใช้ชีวิตแบบนั้น 4 ปีเต็มๆ ดังนั้นพอเขามาปราฏตัวให้ได้เห็นในลุคนี้มันเลยเป็นอะไรที่ช็อกวงการบันเทิงและก็ช็อกวงการศัลยกรรม”
ก่อนหน้านี้ที่เราเคยเป็นสาวเจ้าเนื้อ ตอนนั้นจำได้ไหมว่าน้ำหนักเท่าไหร่ ?
โบรัน – “น้ำหนักเกือบ 130 กิโลกรัมเลยค่ะ แต่ว่าปัจจุบันลดลงมาที่ 67-68 กิโลกรัมแล้ว มันเหมือนหายไปครึ่งตัวเลย (ยิ้ม) และเหตุการณ์ที่ทำให้ตัดสินใจลดน้ำหนักก็เป็นเพราะ เอ่อ…ตอนนั้นโบรันทริปไปเที่ยวญี่ปุ่น-เกาหลี นั่งเครื่องบินไป นั่งชั้นธรรมดานี่แหละ แต่จังหวะที่โบรันเดินไปเข้าห้องน้ำอยู่ดีๆ โบรันก็เกิดเป็นลมบนเครื่องบิน คือเป็นลมไปเลย โบรันเคยใช้ถังออกซิเจนบนเครื่องด้วยนะ (หัวเราะ) แอร์โฮสเตสวิ่งกันวุ่นมาก นั่นแหละค่ะมันเลยเป็นจุดที่ทำให้โบรันคิดว่าเราต้องลดน้ำหนักได้แล้ว เพราะถ้าไม่ลดน้ำหนักต้องตายแน่ๆ อ้วนเกิน อ้วนมาก”
โบรัน – “ถามว่าช่วงเวลานั้นโบรันใช้ชีวิตยากไหม ก็ยากนะคะ อย่างเช่นเวลาจะซื้อชุด หรือเวลาจะนั่งมอเตอร์ไซค์วินก็ลำบาก มันเหมือนเขาไม่ค่อยอยากรับเราสักเท่าไหร่ (ยิ้ม) จนกระทั่งนี่แหละค่ะคนในครอบครัวเขาเริ่มเห็นว่าโบรันมีอาการเป็นลม มีภาวะแรกๆ ของคนเป็นโรคอ้วนให้เห็น มีความเสี่ยงต่างๆ ปรากฎขึ้น เขาก็เลยถามโบรันว่าอยากลองลดน้ำหนักไหม อยากอยู่กับครอบครัวไปนานๆ ไหม บวกกับโบรันก็เริ่มสังเกตเห็นว่าตัวเองมีอาการเจ็บขาเจ็บเข่าด้วย สุดท้ายก็เลยตัดสินใจว่าโอเคเรากลับมารักตัวเองดีกว่า”
ครอบครัวผลักดันช่วยเหลือกันยังไงบ้างกับการลดน้ำหนักของ โบรัน ?
เบลเยี่ยม – “ต้องบอกก่อนว่าเหตุการณ์เป็นลมบนเครื่องบินของโบรันวันนั้นหนูกับคุณแม่อยู่ด้วย มันก็เลยทำให้หนูมีโอกาสได้คุยกับเขาประมาณว่า ‘พี่โบต้องลดน้ำหนักจริงจังแล้วแหละ’ เนื่องจากที่ผ่านมาเขาเองก็ท้อถอยไปหลายรอบสำหรับเรื่องนี้ ท้อถึงขนาดต้องพบนักบำบัดเลยก็มี ซึ่งวิธีการของบ้านเราจะเป็นแบบ เวลาออกกำลังกายเราออกด้วยกันทั้งบ้าน เวลาเรากินเรากินเหมือนกันทั้งบ้าน เหมือนเราต้องคอยเป็นกำลังใจให้กัน และพอเราทำไปด้วยกันทั้งครอบครัวมันก็เลยทำให้เขาสามารถไปต่อได้”
พอเริ่มลดน้ำหนักแล้ว การศัลยกรรมตามมาได้ยังไง ?
บุ๊กโกะ – “มันเป็นโปรเจกต์ที่เราตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกแล้วค่ะ เพราะบุ๊กโกะเปิดตัวไปแล้ว คุณแม่เปิดตัวไปแล้ว และเบลเยี่ยมก็เปิดตัวไปแล้ว แต่ที่ผ่านมาบุ๊กโกะก็ต้องยอมรับอีกเหมือนกันว่าบุ๊กโกะมองหาพรีเซนเตอร์เยอะมากจริงๆ คือจะเอาดาราคนไหนดี เน็ตไอดอลคนไหนดี แต่พอคิดไปคิดว่ามันก็ได้คำตอบกับตัวเองประมาณว่า ทุกคนเสร็จแล้วเขาก็จะไป เขาจะไม่อยู่กับเรา จนสุดท้ายก็วนมาถึงโบรันนี่แหละ แต่กว่าจะตัดสินใจว่าเป็นเขาได้บุ๊กโกะก็คิดเยอะอยู่เหมือนกันนะ เนื่องจากว่าโบรันเขามีภาวะความคิดไม่เหมือนคนอื่น เขาไม่ใช่คนพูดเยอะเหมือนบุ๊กโกะ หรือเวลาที่เขารู้สึกอะไรก็แล้วแต่เขามักจะเก็บไว้ไม่บอกใคร และก็มีอีกเรื่องคือคนมักจะบูลลี่เขาด้วยว่าแบบ ทำไมเธอไม่ผอมล่ะ? ทำไมเธอไม่ไปทำศัลยกรรมให้เหมือนคนที่บ้านเธอล่ะ? บุ๊กโกะก็เลย โอเคได้จ๊ะ เดี๋ยวดูกันเลย”
บุ๊กโกะ – “การทำศัลยกรรมของโบรันมันเป็นอะไรที่ใช้ระยะเวลายาวนานจริงๆ ค่ะ เพราะขั้นตอนการเดินทางของการทำศัลยกรรมมันเป็นอะไรที่เราต้องค่อยๆ ทำ เราไม่สามารถทำทีเดียวได้ ซึ่งเคสของโบรันเขาเริ่มจากหน้าเป็นอันดับแรก จากนั้นพอหน้าหายก็ค่อยๆ ทำส่วนอื่นต่อ ในช่วงแรกเขาต้องอยู่เกาหลียาวนานถึง 4 เดือนเลยนะคะ ตา จมูก ดูดไขมัน ซึ่งดูดไขมันก็มีหลายส่วนอีก ส่วนปีกหลัก ส่วนหน้าท้อง ส่วนตัว และพอดูดไขมันเสร็จไปออกกำลังกายน้ำหนักมันก็ลด พอลดปุ๊บหน้าห้อยเพราะก่อนหน้านี้เคยอ้วนมาก คุณหมอก็เลยต้องดึงหน้า คือเราต้องค่อยๆ ทำ ค่อยๆ ดู เพื่อที่เวลาทำแล้วมันจะได้ดูสวยขึ้นเรื่อยๆ”
ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้เบ็ดเสร็จแล้วใช้ระยะเวลาในการทำกี่ปี และทำอะไรบ้าง ?
เบลเยี่ยม – “เกือบ 5 ปี กับการทำศัลยกรรม 7 รอบ”
โบรัน – “รอบแรก ดูดไขมัน ทำตา ทำจมูก ดูดไขมันเหนียง รอบสอง แก้ปลายจมูกนิดหนึ่งเพราะมันพุ่งเกินไป รอบสาม ดูดไขมันรอบเอวเพิ่มเติม และก็ตัดหนังหน้าท้อง จากนั้นก็เจอโควิด จนโควิดดีขึ้นประเทศเปิดได้กลับไปทำอีกครั้ง ก็คือจะเป็นการ ร้อยไหม PDO เพื่อให้หน้ายกกระชับ จากนั้นก็จะเป็นการผ่าตัดหน้าท้องรอบที่สองเพื่อให้เฟิร์มขึ้น และก็ดูดไขมันเพิ่ม บวกกับลดระยะระหว่างปากให้ดูเด็ก เติมไขมันหน้า เติมฟิลเลอร์ปาก อะไรประมาณนี้”
ทำเยอะขนาดนี้ ค่าใช้จ่ายก็ต้องอัดฉีดเต็มที่ ?
เบลเยี่ยม – “คือมันไม่ได้มีแค่ค่าศัลยกรรมค่ะ แต่มันมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ด้วย อาทิ ค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าการเปลี่ยนจิตใจ ค่ากิน ค่าอยู่ ค่าออกกำลังกาย มันหลายอย่างเลยค่ะ ฉะนั้นอย่าไปคิดเลยว่ามันเท่าไหร่ เขาเป็นคนในครอบครัวเรา เราคิดแค่อยากให้เขามีชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ต้องเป็นลมบนเครื่องบิน ไม่ต้องเสี่ยงอันตราย ไม่ต้องเครียดอะไรตรงนั้นแล้ว”
บุ๊กโกะ – “ที่ผ่านมามันก็เป็นหลักล้านค่ะ เพราะแต่ละรอบมันก็มีค่าใช้จ่าย ค่ากิน ค่าอยู่ ค่าโรงแรม ค่าตั๋วเครื่องบิน และค่าใช้ชีวิตที่นั่นมันก็ค่อนข้างสูงอยู่แล้ว แต่ทั้งหมดทั้งมวลมันคือการต่อยอดธุรกิจ ถ้าหากเรามองเป็นธุรกิจและมันต่อยอดได้ เราต้องกล้าลงทุน เพราะไม่มีอะไรที่ได้มาฟรีๆ แน่นอน”
ย้อนกลับไปเรื่องการใช้ชีวิตของโบรันในช่วงที่ต้องเก็บตัวปิดหน้าปิดตา ตอนนั้นใช้ชีวิตลำบากไหม ?
โบรัน – “อึดอัดนะคะ เวลาจะไปไหนมาไหนกับเพื่อนกับครอบครัวก็ลำบาก จนบางทีรู้สึกไม่อยากถ่ายรูปเลยด้วยซ้ำเพราะถ่ายไปก็โพสต์ลงไม่ได้ หรือเวลาลงก็ต้องหาสติ๊กเกอร์หาอะไรมาปิดหน้าไว้ ซึ่งมันก็เป็นเพราะโบรันไม่ได้ติดสัญญาแค่ที่ไทยอย่างเดียว แต่โบรันติดสัญญากับทางโรงพยาบาลด้วย เพราะเขายังทำให้โบรันไม่เสร็จ เนื่องจากตัวสัญญาเขากำหนดไว้เลยว่าโบรันจะเปิดหน้าได้ก็ต่อเมื่อทำทุกอย่างจนจบคอร์ส”
วันนี้ภูมิใจในตัวเองแค่ไหนจากสาวเจ้าเนื้อที่เป็นลมบนเครื่องบิน แต่ตอนนี้ไม่ใช่แค่ผอม เพราะเราสวยขึ้นด้วย ?
โบรัน – “อยากให้ทุกคนได้เห็นรูปจริงๆ นะคะว่ามันเปลี่ยนไปมากจริงๆ เหมือนเปลี่ยนคนไปอีกคนเลย (ยิ้ม) ตอนนี้โบรันดูดีขึ้น เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ก็รู้สึกดีใจกับตัวเองค่ะ และก็ขอบคุณพี่กับน้องที่สนับสนุนโบรัน”