ผัวยิงเมียตายแล้วซุกตัวในบ้าน แม่เกลี้ยกล่อมก็ยังเงียบ สอดกล้องดูพบเป็นศพตายตามเมียไปแล้ว
(28 มิ.ย.66) เจ้าที่กู้ภัย อบต.กาเกาะ อ.เมือง จ.สุรินทร์ รับแจ้งเหตุยิงกันมีผู้บาดเจ็บไม่ได้สติ 1 ราย จึงลงพื้นที่ให้การช่วยเหลือ พร้อมประสาน พ.ต.ท.สถาพร สงวนสุข สารวัตรใหญ่ สภ.เพี้ยมราม นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจร่วมตรวจสอบ
ที่เกิดเหตุเป็นบ้าน 2 ชั้น บริเวณชั้นล่างพบ น.ส.อนงค์นาถ (ขอสงวนนามสกุล) อายุประมาณ 20 ปี ถูกยิงได้รับบาดเจ็บสาหัส นอนหมดสติ จึงรีบนำตัวส่งโรงพยาบาล ส่วนผู้ก่อเหตุเป็นสามีของผู้บาดเจ็บ ทราบชื่อคือ นายวัชระพล (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 24 ปี พนักงานโรงงานถุงเก็บผ้าสูญญากาศ ถุงสูญญากาศ ซึ่งยังซ่อนตัวอยู่ในบ้าน
ต่อมา พ.ต.อ.เชษฐา เชยชุ่ม รอง ผบก.ภ.จว.สุรินทร์ พร้อมด้วย พ.ต.อ.อิทธิพล พงษ์ธร ผกก.สส.ภ.จว.สุรินทร์, พ.ต.ท.คำนวณ บ่ายกระโทก รอง ผกก.สส.ภ.จว.สุรินทร์ ได้ลงพื้นที่พร้อมตำรวจชุดอาวุธพิเศษ จาก กก.สส.ภ.จว.สุรินทร์ สนธิกำลังร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เพี้ยราม ล้อมบ้านเพื่อเจรจาให้ผู้ก่อเหตุมอบตัว แต่ไม่มีเสียงตอบรับ เจ้าหน้าที่จึงได้ประสานแม่ของผู้ก่อเหตุ ให้มาเจรจาเกลี้ยกล่อมด้วย
จากการสอบถาม นางปวีณา (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 60 ปี แม่ของผู้บาดเจ็บ ทราบว่า ตอนเกิดเหตุตนกำลังจะอุ้มหลานไปอยู่กับยายทวดบ้านข้างๆ กัน เห็นลูกเขยกำลังทะเลาะกับลูกสาว หาว่าลูกสาวตนมีชู้ ตนก็เลยบอกว่าถ้าอยู่ด้วยกันไม่ได้เลิกกันไป จากนั้นตนก็อุ้มหลานไปไว้กับยายทวด แล้ววิ่งมาที่บ้านก็ได้ยินเสียงปืน และเห็นลูกสาวตนล้มลง ตอนแรกคิดว่าชักเพราะมองไม่เห็นแผลถูกยิง ตนก็กอดลูกสาวไว้จนเจ้าหน้าที่กู้ชีพมาถึง ทั้ง 2 คนแต่งงานกันมาได้ปีกว่า มีลูกด้วย 1 คน ปกติฝ่ายชายไม่ค่อยอยู่บ้าน ส่วนมากจะไปกรีดยางอยู่ที่บ้านแม่ที่ อ.สังขะ แต่ก็ไปๆ มาๆ
ต่อมาเวลา 13.30 น. แม่ของ นายวัชระพล ได้เดินทางมาถึงที่เกิดเหตุ ก่อนเริ่มเจรจาให้ลูกชายออกมามอบตัว แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับเช่นเคย ทั้งนี้ระหว่างรอหาวิธีการเจรจา แม่ของฝ่ายหญิงและญาติพี่น้อง ได้รับทราบข่าวว่า น.ส.อนงค์นาถ ได้เสียลงแล้วที่โรงพยาบาล
จากนั้นเวลา 14.40 น.เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ใช้กล้องดิจิตอลสอดผ่านรูผนังห้อง พบว่า นายวัชระพล ได้ผูกคอตัวเองกับคานผนังห้องเสียชีวิตแล้ว จึงประสานแพทย์ ร.พ.สุรินทร์ ตรวจสอบชันสูตรพลิกศพ ร่วมกับ พ.ต.ท.ธนกร พวงจำปา สารวัตร (สอบสวน) สภ.เพี้ยมราม ส่วนสาเหตุคาดว่าเกิดจากความหึงหวง ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้สอบสวนถึงสาเหตุที่แท้จริง ก่อนดำเนินการต่อไป