เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 6 พ.ค. ที่ กองบังคับการปราบปราม(บก.ป.) พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล. รอง ผบ.ตร. กล่าวถึงความคืบหน้าคดีนางสรารัตน์ หรือ แอม พนักงานโรงงานถุงกระสอบสีขาว กระสอบปุ๋ย วางยาฆ่าชิงทรัพย์เหยื่อว่า ขณะนี้พบหลักฐานความเชื่อมโยงว่านางสรารัตน์มีการสั่งสารเคมีไซยาไนด์ แล้ว โดยสั่งเป็นชื่อของบุคคลอื่น สอดคล้องกับช่วงเวลาที่มีผู้เสียชีวิตหลังการสั่งซื้อไซยาไนด์ได้ไม่นาน
เมื่อพิจารณาจากหลักฐานต่างๆพบว่า การก่อเหตุแต่ละครั้งมีการวางแผนเตรียมการมาอย่างดี และเชื่อว่าลำพังเพียงนางสรารัตน์ คนเดียวไม่สามารถก่อเหตุได้ ต้องมีคนให้การช่วยเหลือ กำกับ คอยบอก ซึ่งบุคคลดังกล่าวต้องรู้วิชาสอบสวน เช่น พยายามตัดช่องเวลาบางส่วนไป ส่งของไปให้คนอื่นเพื่อหลักเลี่ยงการตรวจสอบ ซึ่งวันนี้เรามีข้อมูลในส่วนนี้แล้ว แต่จะใช่อดีตสามีหนือไม่นั้น ยังไม่สามารถบอกได้ขอตรวจสอบให้ชัดเจนก่อน ส่วนจะเอาผิดฐานร่วมกันฆ่าได้หรือไม่นั้น ต้องพิจารณาจากพยานหลักฐานก่อน
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวต่อว่า ส่วนแนวทางคดีหลังจากนี้ จะมุ่งเน้นไปที่การรวบรวมพยานหลักฐานเอาผิดบุคคลใกล้ชิดที่คอยให้การช่วยเหลือ การออกหมายจับในคดีพื้นที่ สน.ทองหล่อ ที่เหลืออีก 1 คดี การดำเนินคดีกับบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการสั่งไซยาไนด์ และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ทุจริตหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการปล่อยให้บุคคลทั่วไปสั่งซื่อไซยาไนด์ได้ เพราะไซยาไนด์ เป็นสารเคมีควบคุมคนทั่วไปไม่สามารถสั่งซื้อได้ ในส่วนของการสอบพยานบุคคลต่างๆขณะนี้มีการสอบปากคำจนเกือบจะครบถ้วนแล้ว
“หากคดีในพื้นที่ สน.ทองหล่อ สามารถออกหมายจับได้ ก็จะทำให้คดีที่รับเรื่องตอนนี้ทั้งหมดมีการออกหมายจับครบถ้วน 14 คดี ส่วน อีก 2-3 กรณีการเสียชีวิตปริศนาที่เพิ่งรับข้อมูลมานั้นอยู่ระหว่างการตรวจสอบให้แน่ขัดว่าเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ ขณะที่ในส่วนของการสอบปากคำ นางสรารัตน์ แม้เจ้าตัวจะยังไม่ยอมให้การ ก็ไม่ได้หนักใจเพราะเรามีพยานหลักมากพอที่จะเอาผิดอยู่แล้ว และ เชื่อว่าพยานหลักฐานที่มีอยู่จะทำให้นางสรารัตน์ต้องยอมจำนน ซึ่งการที่เขาไม่พูดไม่ยอมให้การนั้นอาจเป็นเพราะยังคิดว่าตำรวจไม่มีหลักฐานบ่งชี้ว่าเขาคือคนวางยา แต่อย่าลืมว่า อาชญากรรมทุกประเภทย่อมทิ้งร่องรอยเสมอ หากตำรวจไม่มีหลักฐานศาลก็คงไม่อนุมัติหมายจับให้” รอง ผบ.ตร. กล่าว